Thursday, August 16, 2007

หน้าแรก

สองน่องท่องกาญจน์
สวัสดีครับทุกคน หายหน้าหายตาไปนาน และแล้วก็กลับมา เพราะว่าได้ไปเที่ยวที่กาญจนบุรี ที่จริงแล้วก็ไม่ได้ตั้งใจไปเที่ยวหรอกครับ เผอิญว่าต้องไปทำธุระที่นั่นพอดีก็เลยถือโอกาสไปเที่ยวซะเลย ส่วนงานที่ไปทำมาก็ทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับ ก็คงต้องปรับปรุงกันต่อไป ถ้าพูดถึงกาญจนบุรี มีต่อ... NEW!

สองน่องท่องยุดยา
อยุธยาเมืองเก่าของเราแต่ก่อน ถ้าคนไทยคนไหนไม่เคยได้ยินชื่อนี้ก็แปลก เพราะว่าเมืองแห่งนี้เป็นเมืองประวัติศาสตร์ชาติไทยที่มีมานานก่อนสมัยรัตนโกสินทร์ ผมเชื่อว่าทุกคนคงได้เรียนผ่านกันมาบ้าง ผมกับเพื่อน ๆ จึงวางแผนออกเดินทางไปดูกันโดยเราจะใช้เวลาทั้งหมดสองวันในการเที่ยวที่นี่ ซึ่งรับรองว่าถ้าใครได้ไปแล้วจะไม่ผิดหวังกับความยิ่งใหญ่ของราชธานีแห่งนี้แน่นอนครับ
วันแรกกับการเที่ยวเกาะอยุธยา
วันที่สองที่พระราชวังบางปะอิน ตอนที่ 1 มาแว้ววว

วันที่สองที่พระราชวังบางปะอิน ตอนจบ มาแว้วววววว















สองน่องท่องเขาใหญ่
สวัสดีครับ สำหรับคนที่ชอบเที่ยวแต่ว่าหาเวลาว่าง ๆ ไม่ค่อยจะได้ แวะมาชมเวบของผมที่นี่ก็ได้นะครับ อย่างเช่นช่วงวันหยุดที่ผ่านมาก็ไปเที่ยวเขาใหญ่กับเพื่อน ๆ มันเป็นครั้งแรกของผมน่าตื่นเต้นมากครับ แต่ครั้งนี้ไม่ค่อยได้ไปไหนเท่าไหร่ รูปจึงมีน้อยไปหน่อย เอาไว้ครั้งหน้าจะไปให้ครบทุกที่เลยหรือใครจะแนะนำที่ไหนก็ได้นะครับ ภาพที่นำมาฝากครับ มีต่อ...





แล้วเจอใหม่ครับ

พระราชวังบางปะอิน (ต่อ)

กลับมาอีกครั้ง สำหรับพระราชวังบางปะอิน หายไปตั้งนาน วันนี้เราก็จะเดินทางให้จบกันเลย ไปกันเลยดีกว่า
เมื่อเราติดต่อเช่ารถกอล์ฟได้แล้ว.. ก็ถึงเวลาเที่ยวชมความสวยงามของพระชวังกันเลยนะครับ ผมประทับใจกับสถานที่แห่งนี้มาก มีทั้งความสวยงาม ความร่มรื่น ความสงบเงียบ...(น่าปูเสื่อนอน)น๋ะครับ

เราก็จะไปตามถนนเส้นนี้และครับสองข้างถนนมีต้นไม้ ดอกไม้ที่สวยงาม....



ขับรถไปเรื่อยก็มีสนามหญ้าด้านขวามือ เป็นสนามหญ้าที่ใหญ่ และสวยงามมากครับ ผมเห็นแล้วก้อยากจะมีสนามหญ้าหน้าบ้านสวยๆแบบนี้บ้างนะคับ


เห็บรรยากาศสวยๆแบบนี้ใครจะอดใจไหวที่จะไม่ IN กับบรรยากาศ...พรีเซ็นเตอร์กิติมาศักดิ์ของเราก็เอากับเขาสักหน่อย โปรจริงๆ



เมื่อเราชื่นชมกับภูมิทัศน์ที่สวยงามและร่มรื่นเราก็ขับรถไปชมพระราชนิเวศน์สถานและนี่ก็คือ " พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ " ผมขอเล่าถึงประวัติสักเล็กน้อยนะครับเผื่อจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่สนใจและไม่สนใจ พระที่นั่งแห่งนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้จำลองแบบมาจากพระที่นั่งอาภรณ์กิโมกข์ปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ ได้กลายเป็นจุดเด่นขอพระราชวังบางะอินไปแล้วในตอนนี้ ถ้าพูดถึงพระราชวังางปะอินก็ต้องพูดถึงสถาปัตยกรรมไทยเพียงหลังเดียว ที่ตั้งอยู่อย่างโดดกลางสระน้ำท่ามกลางภูมิทัศน์ที่ร่มรื่น แต่วันนั้นท้องฟ้าไม่สวยเท่าไหร่



และที่มองไปด้านหลังของพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ก็จะเจอกับด้านหลังของประตูเทวราชครรไลเดี๋ยวเราจะไปดูด้านหน้ากันนะครับ...




อีกมุมของพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ สวยได้ทุกมุมครับ...




นี่ไงหละครับด้านหน้าของประตูเทวราชครรไล ด้านในจะมีร้านค้า จำหน่ายอาหารและเครื่องเดิม อากาศเย็นสบายครับ เพราะมีแอร์ ประตูเทวราชครรไลนี้เดิมใช้เป็นประตูสำหรับพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกจากเขตพระราชฐานชั้นในไปยังท้องพระโรง




มุมนี้จะก็สวยครับ เราจะทอดสะพาน(ข้ามสะพาน)....เข้าไปที่เขตพระราชฐานชั้นในครับ



รูปปั้นนี้เป็นอีกมุมของประตูเทวราชครรไลครับ




นี่ก็เป็นจะมีสะพานบานเกล็ดเชื่อมไปยัง พระที่นั่งวโรภาษพิมาน ซึ่งเป็นท้องพระโรงสำหรับให้ขุนนางเข้าเฝ้าฯ




เมื่อเราเข้ามายังในเขตพระราชฐานชั้นใน ด้านขวามือจะเป็น พระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียร แต่ไม่เปิดให้ชมภายในครับ




สนามหญ้าอีกแห่งในเขตพระราชฐาน มีช้างเป็นโขลงเลยครับ ตัวเขียวทั้งนั้นเลย




สูงเด่นเป็นสง่า สีสันสวยงามคือ "พระที่นั่งวิทูรทัศนา"เป็นหอสูงยอดมน เมื่อก่อนใช้เป็นที่ส่องกล้องชมภูมิประเทศและดูดาว เดี่ยวนี้ก็เอาชมวิวในเขตพระราชวังบางปะอินได้ครับครับ




ยิ่งสูงยิ่งหนาว(สวยครับ) ขนาดที่ว่าไกด์กิติมศักดิ์ของเราอายุก็ไม่ใช่น้อยๆยังอดใจไม่ไหว หอบร่างกายและจิตวิญญาญ ขึ้นไปชมความงามของพระราชวัง (แล้วคุณจะไม่ผิดหวัง) หมูอ้วนบอกนะเคลียร์กันเอง





เห็นภาพนี้แล้วอาจจะสงสัยนะครับว่าผมไปเที่ยวเมืองจีนหรือไปเที่ยวเยาวราชมา ไม่ใช่ครับนี่คือ"พระที่นั่งเวหาศจำรูญ" หรือชื่อจีนว่า “เทียนเม่ง ที่อยู่ในเขตพระราชวังบางปะอินนั่นแหละครับ เป็นพระที่นั่งที่บรรดาชาวไทยเชื้อสายจีนที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารร่วมกันสร้างถวายรัชกาลที่ 5




และนี่ก็อีกมุมของ"พระที่นั่งเวหาศจำรูญ" มาเที่ยวที่นี่ไม่ผิดหวังครับ เหมือนกับได้เที่ยวทั้งเอเชียและยุโรปเลยครับ

ภาพมุมสูงจาก"พระที่นั่งวิทูรทัศนา" กว่าจะขึ้นไปได้..เหนื่อย

พระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียร จากอีกด้านใหญ่โตมาก



ส่วนอันนี้ไม่ทราบชื่อ ลองไปหาดูนะครับ รู้แล้วบอกด้วย อยากจะกินหญ้าจริง ๆ เขียวสวยมาก





ขับรถไปก็จะอ้อมไปตามสระน้ำ มองกลับมาก็เจอที่เดิม



บอกแล้วว่าที่ร่มรื่น เห็นมั้ยมีนกด้วย



เราก็จะข้ามสะพานอีกแล้วไปที่อีกฝั่ง


พระที่นั่งวโรภาษพิมาน จากฝั่งตรงข้าม


ข้ามมาแล้ว ที่นี่พิเศษหน่อยเค้าอนุญาติให้เข้าชมภายในได้ แต่สุภาพสตรีต้องสวมผ้าถุงนะครับ เค้ามีให้ยืม ภายในสวยงามมาก แต่เสียดายที่ห้ามถ่ายรูป


ดูเวลาแล้ว ก็สมควรแก่เวลา ไม่ได้มืดนะครับ สมควรแก่เวลาที่จะต้องเอารถไปคืน เดี๋ยวไม่มีตังค์จ่าย ทางผ่านก็เจอน่าจะเป็นเรือนะ



คืนรถเรียบร้อย ก็มานั่งพัก ซื้อโปสการ์ดส่งหาเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ภายในก็น่านั่งครับ


หายเหนื่อยก็กลับกันดีกว่า ออกจากพระราชวังก็จะมีรถสองแถวที่มารอรับนักท่องเที่ยว เราก็ติดต่อจะไปที่สถานีรถไฟ คนละ 10 บาทครับ


ขึ้นรถไฟกลับอยุธยาเหมือนเดิม เต็มเหมือนเดิม เอ๊ะคนใส่แว่นทำไมแก่จัง อิอิ


ถึงที่สถานีรถไฟ ก็นั่งเรือข้ามฝากมาหาไรกินกันหน่อย หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อของ ก๋วยเตี๋ยวเรืออยุธยา มาก็มากนะครับ เพราะฉะนั้น เรามาถึงที่นี่แล้วต้องหามาชิมกันสักหน่อย อร่อยสมกับเป็นต้นตำรับจริง ๆ

และแล้วก็จบการเดินทางของวันนี้และทริปนี้ด้วย เป็นไงครับสนุกกันมั้ย ที่พระราชวังเป็นสถานที่ที่ร่มรื่น น่าพักผ่อนจากความวุ่นวาย ใครที่อยู่ไม่ไกลมาก็ลองมาแวะเดินเล่นชมความงามกันนะครับ อีกอย่างภายในพระราชวังมีสถานที่อีกหลายอย่างนะครับที่ผมไม่ได้แสดงให้ชมกัน มาดูเองนะ
เป็นไงบ้างครับสำหรับจังหวัดอยุธยา สวยงามและน่าประทับใจ สิ่งที่สังเกตเห็นนะครับที่พบได้เยอะที่นี่คือ สายน้ำและวัด ผู้คนก็คงจะผูกพันกับสิ่งเหล่านี้เช่นกัน ลองชวนเพื่อน ๆ มาเที่ยวกันครับ แอบบอกนิดหนึ่ง ทริปนี้สองวันไม่เกินพัน(อาศัยที่พักเพื่อน) ขอบคุณป๋ามากนะครับสำหรับที่พัก ทริปนี้ก็คงจบลง ทริปหน้าบอกใบ้ให้อีกนิดว่า ไปต่างแดน สวัสดีครับ

Saturday, August 11, 2007

พระราชวังบางปะอิน

วันที่สองของทริปนี้ก็มาแว้ววนะครับ กว่าจะมาได้ก็ต้องใช้เวลากันสักพัก เอาเป็นว่าผมจะขอเล่าทีละนิดทีละหน่อยแล้วกัน ถ้าเล่าทีเดียวจบคงต้องรออีกนาน คุยกันไปเรื่อย ๆ แล้วกันนะ ว่าแล้วเราก็ไปกันเลยดีกว่า


เราเริ่มต้นออกจากที่พักที่โรจนะ นั่งรถไปที่สถานีรถไฟอีกแล้ว ถ้ายังจำกันได้วันแรกเราก็เริ่มกันที่นี่แหละ แต่วันนี้เรานั่งรถไฟกัน ก็ไปซื้อตั๋วรถไฟราคาจากอยุธยาไปบางปะอินแค่ 3 บาทเองอ่ะครับ ถูกมากๆๆๆๆ ได้ตั๋วแล้วก็มานั่งกินข้าวเติมพลังงานสักหน่อย อาหารเช้าก็คือ ข้าวต้ม ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับสถานีรถไฟ น่ากินปล่าว


กินเสร็จ ก็ไปนั่งรอรถไฟ รอสักพักใหญ่ ๆ และแล้วรถเราก็มาเย้ๆๆ คนที่รอขึ้นก็เยอะพอสมควรนะชาวต่างชาติก็มี



ขึ้นไปก็ได้ยืนอ่ะ คนเต็ม ไม่เป็นไรครับยืนกินลมไปแล้วกันอาหารว่าง



ยืนไปไม่นานก็มาถึงที่สถานีบางปะอิน รีบ ๆ ลงกันเร็ว เราถึงที่หมายแล้ว


แน่นอนครับที่แต่ละสถานีก็จะมีระฆัง (หรือว่า กระดิ่งกันแน่ เค้าเรียกว่าไรอ่ะ) ก็แชะมาให้ดูว่ามันเหมือนกัน



ต่อไปเราก็จะไป..... ไปไหนกันนี่ ยังไม่รู้เลยว่าไปไง ก็เลยไปถามมอไซค์รับจ้าง เค้าคิดคนละ 10 บาท เลยโอเค สังเกตนะครับ มอไซค์เสื้อแดงเนี่ยเป็นกรุ๊ปเดียวกันนะ ขับกลางถนนเชียวมีสิบล้อตามมาด้วย ระวังหน่อยนะ ภาพนี้ต้องใช้เทคนิคการถ่ายภาพนะเนี่ย ไม่งั้นล่วงแน่



คุณพี่มอไซค์ก็พาเราลัดเลาะไปเรื่อย จนกระทั่งทะลุออกมาเจอกำแพงพระราชวัง ความตื่นเต้นก็มาเยือน ความยาวของกำแพงสุดลูกหูลูกตาเลยครับ


และแล้วเราก็มาถึงจนได้ พระราชวังบางปะอิน จะมีการดูแลรักษาความปลอดภัยดีมากครับ เราต้องเสียค่าผ่านประตูคนละ 30 บาท จากนั้นก็เดินไปที่ทางเข้า ผ่านเครื่องตรวจอาวุธ และก็เข้าชมภายในพระราชวังได้เลย




เข้าไปข้างในพระราชวังเราจะเดินเที่ยวก็ได้ แต่ถ้าใครเหนื่อยก็มีรถไฟฟ้าให้เช่า ค่าเช่าก็ชั่วโมงแรก 250 บาท ชั่วโมงต่อไป 100 ครับ



เริ่มอยากจะดูข้างในพระราชวังยังครับ ขอบอกว่าสวยมาก เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจที่เยี่ยมมากเลยครับ ไม่เหนื่อยเลย และต้องขอขอบคุณรูปจากเพื่อนร่วมก๊วนด้วยนะครับที่ช่วยกันถ่าย อย่าลืมติดตามชมกันต่อนะครับ จะพยายามมาอัพเดทให้เร็วที่สุดดดดด


Tuesday, August 7, 2007

สองน่องท่องยุดยา

อยุธยาเมืองเก่าของเราแต่ก่อน จิตใจอาวรณ์มาเล่าสู่กันฟัง อยุธยาแต่ก่อนนี้ยัง เป็นดังเมืองทองของพี่น้องเผ่าพงศ์ไทย..
อะนะครับอย่าตกใจนะครับว่าทำไม๊...ทำไมอยู่ ๆ ผมถึงเขียนถึงบทความข้างต้น ไม่ได้ไปปลุกใจใครนะ หลายคนคงเคยได้ยินบทความนี้มาบ้างแล้ว อย่านะคับ อย่า..อย่าบอกว่าคุณเกิดไม่ทัน..เพลงนี้เป็นเพลงประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชื่อเพลง อยุธยาเมืองเก่า คำร้อง – ทำนองโดยคุณ สุรินทร์ ปิยานันท์ พอผมได้ฟังเพลงนี้มันทำให้ผมเกิดอาการครับ ไม่ใช่อาการบ้าหมูหรืออาการหมูบ้าแต่อย่างใดครับ มันทำให้ผมมีอาการอยากไปท่องเที่ยวและชมโบราณสถานของเมืองเก่าแห่งนี้

สำหรับทริปนี้ผมมีผู้ร่วมทริปอีก 5 คนรวมกับผมเป็น 6 ครับ งงป่ะว่าเป็น 6ได้ไง ถ้าคุณยังไม่เข้าใจคุณก็นับ 5 ไว้ในใจ แล้วนับนิ้วไปอีก 1 ก็จะได้ 6 get แล้วใช่ไหมครับ ผมนึกแล้วว่าคุณต้องรู้ …เฮอ ๆ เราใช้เวลาในการท่องเที่ยวเมืองเก่าในอยุธยา 1 วัน และพระราชวังบางปะอินอีก 1วัน ก่อนการเดินทางเราได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของเมืองแห่งนี้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งศึกษาแผนที่การเดินทาง...ยิ่งกว่าสอบfinal ซะอีกครับ
พวกเราได้ออกเดินทางจากภูมิลำเนา(บ้านนอก)...จากถนนสายภาคตะวันออกเฉียงเหนือมุ่งสู่จุดหมายปลายทางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เราใช้บริการรถ ป. 2 นั่งได้สบายครับ แอร์เย็นช่ำ (ค่าโดยสารมันถูกดี) ปลายทางที่เราจะไปคือ อ. วังน้อย ผมมาต่อรถที่โคราช ค่ารถโดยสารจากโคราชถึงวังน้อย 119บาท พอถึงวังน้อยเราต้องต่อรถไปที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ ค่าโดยสาร 12 บาท เพราะนัดเพื่อนร่วมทางไว้ที่นั้น 2 คน



หลังจากที่เราเตรียมอุปกรณ์(หมวก แว่นกันแดด ร่ม ครีมกันแดด ) การเดินทางสู่เมืองเก่า จุดเริ่มต้นการท่องเที่ยวนี้เริ่มที่สถานีรถไฟอยุธยา


ตรงข้ามกับสถานีรถไฟจะมีถนนไปที่ท่าเรือข้ามฟากเข้าสู่ตัวเมืองอยุธยาสองข้างทางที่เดินเข้าไปจะมีร้านให้เช่าจักรยานสำหรับชมเมือง แต่เรายังไม่เช่าครับ เพราะเกรงว่าจะเอาจักรยานขึ้นเรือข้ามฟากจะลำบาก ค่าเรือข้ามฝากคนละ 3 บาทเท่านั้น


หลังจากนั่งเรือข้ามฟากมาเราก็เดินหาร้านเช่าจักรยานและค่อนข้างโชคร้ายไปหน่อยครับ จักรยานที่อยู่ใกล้ท่าเรือถูกเช่าไปหมดแล้ว(เรามาสาย..) ก็เลยต้องเดินไปหาร้านเช่าแถวตลาด โชคดีมากเลยครับ ร้านที่อยู่ใกล้กับ ธกส. ยังมีจักรยานเหลือไว้ให้เราเช่า (เดินกันเหงื่อแตกซิก) คันละ 30 บาท โดยต้องส่งรถคืนประมาณ 6 โมงเย็น


เมื่อเราได้จักรยานแล้วก็ปั่นตรงขึ้นไปที่วัดมหาธาตุ สิ่งต่อไปที่เราต้องทำคือ หาที่ทานข้าวเช้ารึว่าข้าวเที่ยง เอาเป็นว่า ข้าวก่ำกึ่งเที่ยงแล้วกัน ประมาณว่ากองทัพต้องเดินด้วยเท้า(ท้อง) เยื้องกับทางเข้าวัดมหาธาตุจะมีร้านอาหารตามสั่งอยู่ร้านหนึ่ง เราก็ฝากท้องไว้ที่นั่นแหละ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะคลอดนะ เรากินข้าวไปด้วยศึกษา เส้นทางไปด้วย และที่ร้านเช่าจักรยานจะมีแผนที่แจกด้วยนะครับ กินข้าวเสร็จเราก็จูงจักรยานข้ามถนนไปวัดมหาธาตุ ตรงหน้าวัดมหาธาตุเขาจะเตรียมที่จอดรถจักรยานไว้ให้เป็นพิเศษครับ ค่าเข้าชมสำหรับคนไทย 10 บาท ต่างชาติ 30 บาทครับ
เราเริ่มเดินชมจากทางขวามือก่อนเลย เราจะพบกับเศียรพระพุทธรูปที่ถูกต้นไม้ล้อมไว้ซึ่งจะว่าเป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ก็ว่าได้ ตรงจุดนี้ผมเชื่อว่าทุกคนที่มาต้องเก็บภาพกลับไปแน่นนอน




ด้านซ้ายมือก็มือพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่มากมาย แต่น่าเสียดายที่เศียรหายไปหลายองค์ คงสัญนิษฐานกันได้ว่าอยุธยาเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองทางด้านศาสนามาก ๆ พระพุทธรูปเยอะมาก


ตามทางที่เราเดินไปก็จะเห็นพระพุทธรูปได้ตลอดทางแต่ไม่ค่อยจะอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เท่าไหร่นัก




สาย ๆ อากาศก็เริ่มร้อนมากขึ้น ก็เดินหาร่มกันหน่อย เอรึว่าเดินไปดูอะไรกันแน่ สงสัยเราต้องตามไปดูซะแล้ว


เดินไปเรื่อยเราก็จะเจอกับเจดีย์มากมาย มีหลากหลายรูปแบบ รูปที่ผมถ่ายมาก็จะเป็นเจดีย์ทรงระฆังครับ...



แต่ละคนก็พยายามเก็บภาพกัน เข้ามาวัดนี้วัดแรกครับ ตื่นตาตื่นใจ กว่าจะได้ภาพแต่ะละภาพต้องใช้ความพยายามสูงมาก


จุดที่เราจะไปต่อคือ...วัดราชบูรณะ ซึ่งตั้งอยู่อีกฟากของวัดมหาธาตุ หน้าวัดแห่งนี้ก็มีที่จอดรถจักรยานเตรียมไว้ให้ครับ... ค่าเข้าชมเท่าเดิมครับ คนไทย10บาทครับ ต่างชาติ 30 บาทครับ



มองตรงเข้าไปจะเจอกับพระวิหารและพระปรางค์ที่ใหญ่มาก ไม่รู้สมัยก่อนเค้าสร้างไง

ตัวพระวิหารก็ไม่สมบูรณ์เท่าไหร่แต่ก็ยังคงเหลือความยิ่งใหญ่เอาไว้ให้เราได้ชมเหมือนกัน

ตัวพระปรางค์สามารถไต่บันไดขึ้นไปชมได้คับ ผมลองขึ้นไปมาแล้วคับ ตอนขึ้นไปมันไม่เท่าไหร่คับ แต่มันเท่าหัวคับ(555++++) พอหันหน้ากลับมาหัวใจผมหล่นไปอยู่ตาตุ่ม มันสูงมากคร้าบบบ... สามารถชมวิวรอบ ๆ เมืองได้พอสมควร



พระปรางค์นี้มีกรุอยู่ชั้นใต้ดินคับ เขาเล่ากันว่าเคยเป็นที่เก็บทอง เมื่อลงไปจนสุดเงยหน้าขึ้นก็จะพบกับภาพจิตรกรรมที่สวยงาม ระหว่างทางลงไปที่กรุก็จะมีห้องจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับวัดนี้ไว้ด้วย คำเตือนคับ! เด็ก คน ชรา สตรีมีครรภ์ ต้องระวังหน่อยนะคับ
บันไดลงไปมันชัน และอากาศหายใจมีน้อย อาจเป็นอันตรายได้...




บรรยากาศจากด้านบนพระปรางค์เย็นสบาย ทิวทรรศน์ก็สวย แต่ผมสังเกตเห็นว่ามีต้นพุทราค่อนข้างเยอะ ใครรู้บ้างทำไมเค้าถึงปลูกต้นนี้กันบริเวณนี้ครับ


เราก็มุ่งหน้ากันสู่จุดหมายต่อไปด้วยจักรยานที่เช่ามา ตามเส้นทางที่เราได้ศึกษามา (มั่วไปเรื่อย ๆ)




หลังจากที่ค้นหากรุสมบัติ เราก็แวะไปพักเหนื่อยกันที่บึงพระราม ที่นี่ต้นไม้ร่มรื่น อากาศเย็นสบาย เหมาะแก่การผูกเปลนอนมาก ๆ ผมกะว่าจะหลับเอาแรงสักชั่วโมงแต่คงไม่ได้ ยังมีสถานที่ต่าง ๆ รอเราอยู่



ไปต่อกันเลยที่วัดมงคลบพิตร วัดนี้มีความสวยงาม มีสีสันมากขึ้น เพราะได้มีการบูรณะใหม่ ภายในวัดจะมีหลวงพ่อมงคลบพิตรประดิษฐานอยู่ มีขนาดใหญ่มาก ๆ วัดนี้ไม่ได้เสียค่าเข้าชม ถนนทางเดินเข้าวัดก็จะมีที่จำหน่ายของฝาก ของที่ระลึก น้ำดื่ม ขนมต่าง ๆ มากมาย


ข้าง ๆ วัดมงคลบพิตรก็จะเป็นวัดพระศรีสรรเพชญ์ วัดนี้ต้องเสียค่าเข้าชมราคาเดิม 10 บาท จุดเด่นของวัดพระศรีสรรเพชญ์นี้คือ มีเจดีย์ที่สวยงามเรียงกันสามองค์คับ บริเวณนี้เคยเป็นพะราชวังมาก่อนพอสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้ถวายให้เป็นที่วัด


รูปทรงของพระเจดีย์ลองจินตนาการดูว่าถ้าได้รับการดูแลอย่างดีเหมือนในสมัยนั้นจะสวยงานขนาดไหน



รอบ ๆ บริเวนนี้ก็กว้างขวาง มีพื้นที่ให้เดินเยอะ ลองเดินชมดู และก็มีเด็กมาทัศนศึกษาบ้าง



จากนั้นเราก็ลัดเลาะไปตามถนนเล็ก ๆ ทางด้านข้างของวัดพระศรีสรรเพชญ์ ไปที่วัดธรรมิกราชแต่เราไม่ได้ชมอะไรมากมายเพราะเขากำลังทำพิธีกรรมกันอยู่ เราก็ปั่นจักรยานหาที่ทานข้าว หลังจากที่เราเพิ่ม คอเลสเตอรอลให้กับตัวเองเสร็จเราก็เดินทางไปต่อกันที่
วัดพระนอน หรือวัดโลกยาสุธาราม เป็นพระนอนที่มีขนาดใหญ่มากเช่นกัน แต่ในตอนที่ผมไปวัดนี้ค่อนข้างจะคนน้อยไปหน่อย กว่าที่จะมาถึงได้ก็ค่อนข้างไกลพอสมควร


ใหญ่ไม่ใหญ่ลองดูเทียบกับคนที่ยืนอยู่แล้วกันนะครับ ไม่ได้เศษเสี้ยวเลย หลังจากไหว้พระขอพรเสร็จเราก็ออกเดินทางกันต่อเลย จุดหมายปลายทางอยู่ที่วัดไชยวัฒนาราม ก่อนที่จะมืด


การเดินทางไปวัดไปวัดแห่งนี้ของเราเกิดการสับสนนิดหน่อย แต่ในที่สุดเราก็สามารถไปถึงวัดนี้จนได้ เส้นทางจากวัดพระนอนถึงวัดไชยวัฒนารามก็ไกลพอสมควรคับต้องฟั่นฝ่าอุปสรรคกับรถบนถนนมากมาย แต่คนที่นี่ใจดี เขาจะให้เกียรติจักรยาน เราปั่นจักรยานข้ามไปอีกฝั่งของเมือง ก่อนถึงวัดไชยวัฒนาราม เราก็แวะพักเหนื่อยกันที่เจดีย์ศรีสุริโยทัย ชมวิวริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา อากาศเย็นสบายคับ เมื่อหายจากความเมื่อยล้าเราก็เดินทางสู่จุดมายกันต่อคับ


และแล้วเราก็ถึงวัดไชยวัฒนาราม เกือบจะเย็นแล้ว ฝนก็ทำท่าจะตก แต่ด้วยความสวยงานของวัด ทำให้เราต้องพักกันที่นี่พอสมควร


นั่งพักกันสักหน่อย มีวิวให้ดู คนที่วัดนี้ก็เยอะพอสมควรครับ แต่ละคนเริ่มอ่อนล้าและก็คุยกันว่าจะไปไหนต่อ เราจะสู้ต่อไป...







เราคิดว่าที่นี่จะเป็นที่สุดท้ายแต่ไม่ใช่แล้วสิคับเรายังไปชมพระอาทิตย์เกือบจะตกดินที่ ป้อมเพชร ที่แห่งนี้คล้ายสามแยกแม่น้ำ ผมจำไม่ได้ว่าแม่น้ำสายอะไร เอาไว้ต้อนรับเรือของข้าศึก หลังจากนั่งชมวิวพักหน่อย ดื่มน้ำที่นี่อยู่นานพอสมควร จากนั้นเราก็ปั่นจักรยานไปส่งคืนที่ร้านเช่าคับ (ทำไมมันไกลจังเนี่ยยยย)และก็กลับที่พักกัน เหนื่อยครับ แต่คุ้มค่าและสนุกมาก ๆ (ต้องขอขอบคุณ ไกด์กิตติมศักดิ์ครับ ที่มาเราไปถึงที่ต่าง ๆ จนได้ 55)

และแล้ววันแรกสำหรับการเดินทางก็ได้จบลง สิ่งที่ผมได้พบก็คือความยิ่งใหญ่ของราชธานีของไทย มันเป็นความภาคภูมิใจครับ สำหรับความยิ่งใหญ่ของบรรพบุรุษ ถ้าลองจินตนาการว่าเราอยู่ในเวลานั้นคุณจะพบว่าอยุธยาเป็นนครที่มีความเจริญ รุ่งเรืองด้านต่าง ๆ มากมาย และสิ่งที่เหลืออยู่ในวันนี้ก็เป็นสิ่งที่เราควรทำนุบำรุงและศึกษา อยากให้คนไทยทุกคนไปดูครับ ส่วนใหญ่ที่เห็นจะเป็นชาวต่างชาติ
สำหรับโปรแกรมในวันพรุ่งนี้เราจะไปต่อกันที่พระราชวังบางปะอิน ผมได้ยินมาว่าที่นี่สวยมาก ๆ ยังไงก็อย่าลืมติดตามชมต่อนะคับ....